ข้อมูลการขาย มีประโยชน์กว่าที่คิด

ข้อมูลการขาย เป็นสิ่งที่คนทำธุรกิจคงมีกันอยู่ทั่วไป แต่น้อยคนนักที่เห็นสิ่งเหล่านี้มีค่า และนำมาใช้ประโยชน์ได้เต็มประสิทธิภาพ ถามว่าข้อมูลการขายเหล่านั้นมันเก็บจากใหน จริงๆ แล้ว มันอยู่ในทุกที่ที่เราขายเลยแหละ ไม่ว่าจะขายหน้าร้าน ขายบนออนไลน์ หลายที่ก็มีการเก็บข้อมูลอยู่แล้วแต่เราไม่รู้และเอามาใช้ไม่เป็นนั่นเอง ว่าแต่ถ้าจะเอามาใช้ประโยชน์ ข้อมูลนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง บทความนี้สาระรีฟ จะมาเฉลยกัน

บทความนี้สาระรีฟ จะมาเน้นย้ำเรื่องการสร้างข้อมูลภายในองค์กร เพื่อประมวลผลง่ายๆ มาใช้ในการตัดสินใจ (Data Driven) สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับกิจการในสมัยนี้ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก จนบางกิจการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน อาจจะประสบปัญหาด้านยอดขายตามมา ดังนั้นการที่เรามีข้อมูลในมืออยู่แล้ว ลองมาออกแบบและประมวลดู แล้วเราจะเจอขุมทรัพย์ที่เราไม่รู้มาก่อน

บริการสินค้าคงคลัง (Inventory)

ข้อมูลการขาย ที่มีการเก็บอย่างต่อเนื่องนั้น เราสามารถมาหาได้ว่า สินค้าใหนมีการขายยังไง กี่วันกว่าจะหมด อะไรบ้างที่ขายดี อะไรบ้างที่ขายไม่ดี เพราะการที่เรารู้ว่าสินค้ามีระยะเวลาเวลาเท่าใหร่ที่เราขายได้ในแต่ละช่วงเวลา มันช่วยให้เราวางแผนการซื้อสินค้ามาเก็บได้เลย

อย่างแรก หากเรารู้ว่า สินค้าบางตัวขายได้ไม่เยอะมาก เวลาเราไปซื้อของ อาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งลังเพื่อที่จะเอาราคาถูกก็ได้ เพราะถึงแม้เราจะได้สินค้าราคาถูกเพราะซื้อเป็นลังก็จริง แต่ถ้าขายหมดไม่ทันวันหมดอายุ ก็ขาดทุนเหมือนกัน เพราะแบบนี้ เราถึงต้องเอาข้อมูลการขายมาวิเคราะห์ดู แล้วเราจะรู้ว่าสินค้าแต่ละตัว ขายดี หรือ ขายหมดช้าแค่ใหน ถ้ารู้เรื่องนี้แล้ว เราจะบริหารสินค้าคงคลังได้ดีขึ้นเลย ทำให้เราไม่ต้องซื้อของเยอะเกินไป หรือ ไม่เก็บของน้อยเกินไปจนของขาด

ไม่ว่าของที่สินค้าที่เก็บจะมามากกว่าจำนวนขาย หรือ จำนวนที่เก็บน้อยจนของไม่พอ ย่อมส่งผลเสียกับธุรกิจทั้งนั้น เพราะสิ่งเหล่านั้น จะช่วยให้เรามีเงินเหลือมากขึ้นในการต่อยอดธุรกิจ หากเราแค่บริหารสินค้าให้เก็บเหมาะสม ยิ่งธุรกิจเติบโต เราก็จะมีเงินมากพอที่จะมีของใหม่ๆ มาขายหลากหลายมากขึ้น ลูกค้าก็จะยิ่งรู้สึกสะดวก สบายมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ออกแบบสินค้าบนชั้นวาง (Product’s Shelf)

สำหรับข้อมูลการขาย ที่เรามีนั้น หากเรานำมาวิเคราะห์ เราจะเห็นอะไรดีๆ เพิ่ม นั่นก็คือ สินค้าใหนบ้าง ที่มักจะขายได้พร้อมกัน ลูกค้ามักจะหยิบสินค้าเหล่านั้นเป็นประจำเมื่อมาซื้อของที่ร้านเรา

ถามว่า จะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าลูกค้าซื้อของอะไรไปบ้าง? ข้อมูลที่ทำให้เรารู้ส่วนนั้นก็คือ ใบเสร็จของลูกค้า หากเราใช้ระบบการจัดข้อมูลการขาย พวกโปรแกรมขายหน้าร้าน (POS) เราจะดูได้เลยว่า ในแต่ละใบเสร็จ ลูกค้าซื้ออะไรไปบ้าง ถ้าเราลองมาวิเคราะห์ดูเล่นๆ จะเห็นอะไรได้เยอะเลยว่า สินค้าบางตัว ลูกค้ามักจะหยิบไปพร้อมกันด้วย

ถ้าจะให้ยกตัวอย่าง ก็น่าจะแนวๆ สมมติว่า เราเข้าไปร้านสะดวกซื้อ ถ้าเราเดินทางไปต่างสถานที่ แล้วลืมแปรงสีฟัน กับยาสีฟัน แปลว่าลูกค้าไปซื้อของพวกนี้มักจะหยิบแปรงสีฟัน และ ยาสีฟันไปด้วย ถ้าเรารู้แบบนี้แล้ว หากเราไม่เอามาวางใกล้กัน ก็เสียโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายได้เลย

หรืออีกมุมหนึ่ง สมมติเราเข้าร้านสะดวกซื้อช่วงเช้า เพื่อหาอาหารรองท้อง ก่อนไปทำงาน สมมติเราหยิบขนมปังสักชุดหนึ่ง ตามด้วยกาแฟ หรือ นมสักกล่อง หากสินค้าลักษณะนั้นอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน มองเห็นได้ในรัศมีสายตา เราจะช่วยให้ลูกค้าสะดวกในการเดินไปหยิบสินค้าต่างๆ ได้เยอะขึ้นด้วย (บางครั้งไม่ได้ตั้งใจเอานม แต่อาจจะเผลอไปหยิบนมด้วยก็เป็นได้)

เวลาที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ (Peak Time)

อีกทั้งข้อมูลการขายที่ กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าในแต่ละใบเสร็จ จะมีวัน เวลาระบุด้วย ว่าใบเสร็จนี้ขายกี่โมง หากเราเอาจำนวนใบเสร็จลองมาวิเคราะห์เล่นๆ โดยแบ่งตามช่วงเวลาเช่น 08.00 – 09.00 เราจะรู้เลยว่า ร้านของเรา ลูกค้าชอบมาช่วงเวลาใหน หากเราไม่ได้เป็นคนเฝ้าร้านเอง เราก็คงได้แค่เดาว่า ลูกค้าน่าจะมาช่วงเช้า หรือ เย็น แต่นั้นก็เป็นแค่ความรู้สึก บางทีอาจจะผิดก็ได้

ดังนั้น หากเราเอาข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ เราอาจจะรู้เลยว่า เวลาใหนที่ลูกค้าเข้ามามากที่สุด ในวันจันทร์ ถึง อาทิตย์ ถ้าเอาจำนวนใบเสร็จมาเรียง เราจะรู้ลึกกว่าเดิมอีก ว่าในช่วงสัปดาห์ วันใหนที่เราขายดีที่สุด นี้แค่ข้อมูลจากใบเสร็จเองนะ เรารู้ลึกขนาดนี้เลย

ถามว่า ถ้ารู้ข้อมูลนี้เอาไปทำอะไรล่ะ เอาไปใช้วางแผนจำนวนพนักงานได้เหมือนกัน (Part-time) หรือ บางที่เขาเอาใว้ใช้กระตุ้นยอดขายในวันที่ขายไม่ดี เช่น โรงหนังที่ทุกวันพุธ มีโปรโมชันพิเศษให้ สำหรับคนที่มาในวันนี้ ส่วนนี้จะยิ่งช่วยทำให้ลูกค้า แต่เดิมที่เขายังไม่รู้สึกอยากจะมา เขาจะรีบมาเพื่อเอาโปรโมชัน ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายในวันที่เราขายไม่ดีได้อีกด้วย บางครั้งการทำลักษณะนี้ ช่วยให้เราสามารถมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนได้เยอะขึ้นกว่าเดิมมากเลย

คำนวนรายได้ของแต่ละช่วงเวลา (Revenue)

สำหรับสิ่งที่คนทำธุรกิจอยากรู้มากที่สุด คงขาดไม่ได้ก็คือ วันนี้ สัปดาห์นี้ หรือ เดือนนี้ เรามียอดขายเท่าใหร่ ข้อมูลการขายพวกนี้สามารถเอามาประมวลได้เลย ว่าแต่ละช่วงเวลาร้านเรามียอดขายมากน้อยแค่ใหน

สิ่งนี้เอาไปใช้ประโยชน์อย่างไรล่ะ บอกเลย หากเราเอารายได้ในแต่ละเดือน ลองมาประมวลผลออกมาเป็นกราฟเส้น โดยให้แสดงจำนวนยอดขายในแกนตั้ง และเดือนที่ขายในแกนนอน มันจะช่วยให้เราได้รู้เลยว่าในแต่ละเดือน ยอดขายของเรา มีการเพิ่มขึ้น หรือ ลดลงยังไงบ้าง เพราะทุกธุรกิจ จะมีช่วงเวลาที่ขายดี และขายไม่ดีอยู่ ขึ้นอยู่กับธุรกิจที่ทำ

ยกตัวอย่างเช่น สมมติเราเปิดร้านข้าว ช่วงเดือนที่เป็นหน้าฝน เราอาจจะยอดขายไม่ดีก็เป็นไปได้ เพราะคนไม่ค่อยออกมาทานข้างนอกกัน อาจจะกลัวเปียก หรือ ขี้เกียจออกจากบ้าน ยิ่งถ้าเราเก็บข้อมูลยาวๆ สัก 2-3 ปี เราจะยิ่งเห็นเลยว่า เดือนใหนที่ยอดขายเราขึ้น และเดือนใหนยอดขายตก พวกนี้เขาเรียกว่า Seasonal หรือ ฤดูกาลขายของกิจการนั่นเอง ที่แต่ละช่วงเวลา มันจะมีรูปแบบของรายได้คล้ายๆ กันในแต่ละปี สำหรับบางกิจการอาจจะขึ้นอยู่กับช่วงที่เป็นเทศกาลก็เป็นไปได้อีก เป็นต้น

เห็นไหมครับว่านี้แค่ข้อมูลการขายเอง เราสามารถเอามาวิเคราะห์อะไรได้เยอะแยะเลย เดี๋ยวหัวข้อถัดไป สาระรีฟ จะเอามาแชร์ว่า ข้อมูลการขายเหล่านี้ เราจะเก็บยังไงได้บ้าง เอามาจากใหน และต่อยอดข้อมูลได้อย่างไร ถ้ายังไงก็อย่าลืมกดติดตามสาระรีฟ ในช่องทางต่างๆ กันได้นะครับ เพื่อไม่ให้ตกข่าว ในหัวข้อดีๆ ที่สาระรีฟเอามาแชร์

ติดตามหัวข้ออื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี้ได้ต่อเลยนะครับ

• ปี 2021 จะปรับตัวธุรกิจอย่างไรดี
• สร้างธุรกิจให้เติบโต ตอน กล้าแตกต่าง
• ธุรกิจเจ๊ง ถ้าไม่ระวัง 5 อย่างนี้

ช่องทางติดตามผลงาน

ติดตามผลงานช่องทางต่างๆ ได้

Facebook: https://www.facebook.com/sararifmkt

Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCUt1RPFDIOaFnrogwZHi34Q

Tiktok : https://www.tiktok.com/@sararifmkt

Line : https://lin.ee/3KWTirDxI

Website : https://www.sararif.com