NEW NORMAL ทำไมช่วงนี้หลายคนเขาชอบพูดกัน แล้วคืออะไร เกี่ยวอะไรกับ COVID-19 บทความนี้จะมาไขคำตอบให้หายสงสัย พร้อมทิศทางของสังคม หลังผ่าน COVID-19 นี้ ในการเตรียมพร้อมรับมือกับ “โลกแบบใหม่ แต่ยังคงเป็นโลกใบเดิม” ซึ่งบทความก่อนหน้านี้ทาง สาระรีฟ ได้เขียนวิเคราะห์ในเรื่องของ
สำหรับหัวข้อเกี่ยวข้อง สามารถอ่านเพิ่มเติมกันได้นะครับ
- พอเพียงใช้เท่าที่มี อย่าเป็น “หนี้” จนเกินตัว
- มนุษย์เป็ด ทำได้หลายอย่าง แต่ไม่สุดสักทาง
- ธุรกิจแมลงสาบ (Cockroach Business) คืออะไร
หากพูดถึง NEW NORMAL ถ้ามาแปลตามตัว ก็จะเชิง ความปกติในเรื่องแบบใหม่ ที่แบบอ่านแล้วต้องแปลเป็นไทยอีกรอบ ซึ่งถ้าพูดกันง่าย ๆ ก็คือ เรื่องที่เปลี่ยนแปลงชีวิต จนเรารู้สึกชินไปกับมัน ซึ่งคำนี้ถูกมาใช้ครั้งแรกในปี 2551 โดย Bill Gross นักลงทุนตราสารหนี้ชื่อดังที่ได้กล่าวใว้ ในเชิงว่า เศรษฐกิจระดับโลกที่ชะลอตัวลง จนกลายเป็นว่าการเติบโตที่น้อยกว่าเดิมนั้นจะเป็นตัวเลขเฉลี่ยปกติแทนที่ค่าเดิม พ่วงด้วยตัวเลขการว่างงานที่สูงขึ้นเช่นกัน
สำหรับ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ก็ได้กล่าวใว้เช่นกัน ในส่วนของการลดการเติบโตของเศรษฐกิจลงเป็น 7% ซึ่งจะเป็นสภาวะ NEW NORMAL ของประเทศ จากเดิมที่ตั้งใว้ 10% โดยไม่ได้มองว่าเป็นการถดถอยทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศจีนคงจะไม่เติบโตมากเท่ากับก่อนหน้านี้นั่นเอง เพื่อเน้นสเถียรภาพมากขึ้น เติบโตช้าลง แต่มั่นคง
สังเกตุได้ว่า NEW NORMAL ได้ถูกมาใช้ในเชิงเศรษฐกิจกัน ในเชิงที่ว่า เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ไม่น่าจะกลับมาเหมือนเดิมแล้ว พอเกิดเหตุการณ์ไวรัส COVID-19 ก็ได้นำคำนี้มาใช้ ถ้าจะให้ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ การทำงานที่บ้าน (Work from Home) จะเป็นเรื่องปกติกัน ทั้งการประชุม การเรียน หรืออื่น ๆ ที่ถูกใช้ ณ เวลาที่ภาครัฐสนับสนุนคนให้อยู่ที่บ้าน เว้นระยะห่างกัน (Social Distancing) คราวนี้เราลองมาดูกันต่อครับ ว่าหลังจากหมดเหตุการณ์ COVID-19 นี้สังคมจะเปลี่ยนไปในทางทิศทางใหนกันบ้าง
1. คนจะรักสุขภาพมากขึ้น
เนื่องด้วยสถานการณ์ไวรัสระบาดทำให้ผู้คนต่างวิตกกังวล ที่จะติดเชื้อ จึงทำคนเริ่มตื่นตัวที่จะรักษาสุขภาพให้แข็งแรงขึ้น จึงส่งผลให้ธุรกิจสายสุขภาพมีอัตราที่เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน โดยกิจการที่เกี่ยวเนื่องที่น่าจะเติบโตน่าจะมีดังนี้
- อาหารเพื่อสุขภาพ ทั้งในรูปของวัตถุดิบ อาหารพร้อมทาน หรือ อาหารจากพืชที่ทดแทนเนื้อสัตว์ เป้นต้น
- อาหารเสริม ที่จะช่วยในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้น
- การออกกำลังกาย ทั้งในเรื่องของอุปกรณ์ เครื่องแต่งกาย
- อุปกรณ์รักษาความสะอาด เช่น เจลล้างมือ สเปรย์ทำความสะอาด หรือ สิ่งอำนวยความสะดวกในการดูแลรักษาต่าง ๆ
2. การเรียนการสอนออนไลน์สูงขึ้น
เกี่ยวเนื่องจากการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ทำให้ ผู้คนเริ่มจะหาการเรียนรู้ใหม่ ๆ เพื่อที่จะนำมาเป็นอาชีพเสริม ให้เป็นรายได้อีกช่องทางหนึ่ง ทั้งคอร์สการทำอาหาร การขายออนไลน์ หรือ ทักษะใหม่ ๆ อื่น ๆ ที่คิดว่าน่าจะนำมาเป็นอาชีพเสริมในยามว่างได้ ซึ่งที่ทาง สาระรีฟ สรุปเรื่องที่คนมักจะเรียนรู้กันประมาณนี้ครับ
- คอร์สการทำอาหาร เมนูต่าง ๆ ทั้งของคาว ของหวาน หรือ ขนม เป็นต้น
- คอร์สเรื่องการเขียนโปรแกรม
- คอร์สทักษะต่าง ๆ เช่น สอนภาษา การเย็บปักถักร้อย
- คอร์สการตัดต่อรูปภาพ วิดีโอ
3. ออฟฟิซทำงานจะเนื้อที่เล็กลง
สำหรับคนที่เป็นเจ้าของกิจการ จะเริ่มกลับมานั่งคิดใหม่ในเรื่องของสถานที่ทำงาน ว่าควรที่จะลดขนาดลงดีหรือไม่ พร้อมมีการสนับสนุนงานบางส่วนให้สามารถทำงานที่บ้านได้
สืบเนื่องจาก การที่กิจการหลายแหล่งต้องปิดตัวชั่วคราว ในช่วงที่เกิดการปิดเมือง (Lock Down) ทำให้ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งค่าเช่า หรือ ค่าสาธารณูปโภคอื่น ๆ บางส่วนที่ยังคงต้องจ่าย แต่รายได้กลับลดลงไปทิศทางตรงกันข้ามกัน ธุรกิจต่าง ๆ ก็เริ่มจะมองในส่วนของการลดขนาดพื้นที่ให้เล็กลง โดยอาจจะมีการใช้บริการอื่น ๆ หรือทางเลือกที่ทำงานอื่น ๆ ให้มากขึ้น
- Co-working space จะเป็นสถานที่หนึ่งที่เปิดพื้นที่ให้บริการรายวัน โดยภายในมีอุปกรณ์สำหรับการทำงานครบครัน ทั้งห้องประชุม ห้องทำงานรวม อินเทอร์เน็ต ปลั๊ก ร้านกาแฟ
4. ร้านค้าจะปรับตัวเข้าออนไลน์มากขึ้น
ช่วงวิกฤติไวรัสโควิด 19 นั้น จากการออกมาตรการป้องกันของภาครัฐ ที่ต้องการสร้างความห่างทางสังคม เพื่อให้สามารถรับมือกับการบรรเทาสถานการณ์ให้เบาลง จึงส่งผลให้เกิดการที่ร้านอาหารต้องปิดชั่วคราวเป็นจำนวนมาก หรือร้านอาหารสามารถที่จะทำ ชุดพร้อมทานเพื่อนำกลับไปบ้านได้
แต่ถึงร้านอาหารจะมีนำกลับไปบ้าน พร้อมมีบริการจัดส่งถึงที่ (Delivery) แต่ก็ยังมีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในร้าน ทั้ง ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ
อีกทั้งผู้คนทั่วไป จากการที่ทำงานที่บ้านนั้น มีไม่น้อยที่ เริ่มจะทำอาหารเป็นชุด ขายออนไลน์กัน ทั้งขนมหวาน ของความ ขนมต่าง ๆ กันมากขึ้น จึงส่งผลให้ร้านอาหารย่อมโดนผลกระทบยอดขายมากขึ้น จากเหตุการณ์นี้เอง จะทำให้ร้านค้าเริ่มจะมองหาช่องทางออนไลน์ใหม่ ๆ ที่จะช่วยสร้างรายได้อื่น ๆ นอกจากการเปิดร้านเพียงอย่างเดียว ผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ทั้ง Social Media, Marketplace เป็นต้น
5. ธุรกิจจะปรับใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
สืบเนื่องจากการทำงานที่บ้าน จึงทำให้ธุรกิจเริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้กันมากขึ้น จึงส่งผลให้ธุรกิจด้านบริการระบบประชุมออนไลน์เติบโตยิ่งขึ้น โดยสามารถนำเสนอเนื้อหาการนำเสนอได้ พร้อมทั้งกล้องที่ถ่ายผู้นำเสนอในเวลาเดียวกัน ซึ่งที่ทาง สาระรีฟ เห็นกิจการมาใช้กันก็จะมีประมาณนี้ครับ หากใครคิดว่ามีอย่างอื่นก็แนะนำกันได้ครับ
- Zoom
- Microsoft Team
- Google Meet
ไม่เพียงแต่เทคโนโลยีด้านการประชุมเพียงเท่านั้น แต่เทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการภายในองค์กรต่าง ๆ ก็เริ่มถูกนำมาใช้มากขึ้น ทั้งในส่วนของการทำบัญชีออนไลน์ เครื่องมือในการขาย เครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่กิจการเลือกนำมาใช้ ในการบริหารจัดการองค์กรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
6. อาชีพอิสระ (Freelance) จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น
อาชีพอิสระ อาจจะมีอัตราความต้องการที่สูงขึ้น เนื่องจาก กิจการไม่จำเป็นต้องว่าจ้างงานตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายคงที่ได้ง่ายขึ้น ในกรณีที่ต้องมีการปิดกิจการชั่วคราว ซึ่งหากมีการเลิกจ้าง ก็ย่อมมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้าที่สูงขึ้น ย่อมส่งผลด้านการเงินกับกิจการดังกล่าวไม่น้อย
การศึกษาทักษะใหม่ ๆ เพื่อรับงานสำหรับคนรุ่นใหม่ อาจจะทั้งเป็นอาชีพหลัก หรือ เป็นอาชีพเสริมนั้น ย่อมส่งผลเกี่ยวเนื่องกับคอร์สออนไลน์ต่าง ๆ ที่ผู้มีความรู้ นำมาสอนออนไลน์ ซึ่งหากใครกำลังหาอาชีพเสริม การเป็นฟรีแลนซ์นั้นย่อมเป็น ทางเลือกที่ไม่เลวเช่นกัน
ช่องทางติดตามผลงาน
ติดตามผลงานช่องทางต่างๆ ได้
Facebook: https://www.facebook.com/sararifmkt
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCUt1RPFDIOaFnrogwZHi34Q
Tiktok : https://www.tiktok.com/@sararifmkt
Line : https://lin.ee/3KWTirDxI
Website : https://www.sararif.com